การเติบโตแบบ B2B ที่เพิ่มสูง

ผู้คนส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเลือกซื้อทุกสิ่งที่ต้องการผ่านช่องทางออนไลน์ แล้วอุตสาหกรรมบริการอาหารจะเดินคนละทางไปทำไม ความคิดนี้ผุดขึ้นมาและนำไปสู่การก่อตั้ง FoodServiceDirect.com (FSD) ในปี 2535 ในขณะที่อุตสาหกรรมอื่นๆ สามารถนำศักยภาพการเปลี่ยนแปลงของอีคอมเมิร์ซมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว แต่อุตสาหกรรมบริการอาหารดูเหมือนจะก้าวไปอย่างช้าๆ โดยส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาการจัดจำหน่ายแบบดั้งเดิมและการสรรหาวัตถุดิบคราวละมากๆ จากผู้ค้ารายใหญ่ FSD ตั้งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้

FSD เป็นผู้จัดจำหน่ายบริการอาหารในสหรัฐอเมริกาที่ให้บริการผู้ซื้อ B2C และ B2B ผ่านหน้าร้านดิจิทัลที่กำลังขยายตัวให้พร้อมรองรับการซื้อจำนวนมาก ด้วย SKU มากกว่า 250,000 รายการ แค็ตตาล็อกออนไลน์ของ FSD จึงเต็มไปด้วยอาหารยอดนิยมทานง่ายหลายเมนูควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์และวัสดุแบบใช้แล้วทิ้งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หลังจากการลงทุนอย่างหนักใน Google Advertising รายชื่อลูกค้าของ FSD ได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมธุรกิจต่างๆ เช่น ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร ร้านขายของชำ รถขายอาหาร โรงพยาบาล สำนักงาน และอื่นๆ อีกมากมาย

เมื่อ FSD เติบโตอย่างต่อเนื่อง แบรนด์ก็ยังคงดึงดูดผู้ซื้อ B2B ซึ่งคิดเป็น 50% ของฐานลูกค้า เพื่อรักษาโมเมนตัมนี้ไว้ บริษัทได้วางแผนที่จะปรับปรุงแพลตฟอร์มการขายดิจิทัลให้ทันสมัยตามความต้องการเฉพาะของฐานลูกค้า

เว็บสโตร์ที่วางแผนไว้แห่งแรกจากทั้งหมดสองแห่งจะเป็นหน้าร้านอีคอมเมิร์ซใหม่หมดจดที่มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายธุรกิจไปยังพื้นที่ให้บริการใหม่ๆ สำหรับลูกค้า B2B และ B2C ร้านค้ารองจะวางโครงสร้างตามรูปแบบธุรกิจ B2B ที่สร้างขึ้นโดยความร่วมมือกับหนึ่งในเครือข่ายแฟรนไชส์บริการอาหารที่สำคัญ

แพลตฟอร์มรองที่ให้ความสำคัญกับ B2B นี้จะช่วยให้แฟรนไชส์ร้านอาหารมีร้านค้าที่สะดวกในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและสินค้าบริโภคอื่นๆ ให้กับแฟรนไชส์โดยตรง ในทางกลับกัน แฟรนไชส์จะสามารถจัดการกระบวนการสั่งซื้อทั้งหมดในสถานที่ให้บริการอาหารหลายแห่งได้อย่างไร้รอยต่อจากแดชบอร์ดผู้ดูแลระบบแบบรวมศูนย์ ตอนนี้สิ่งที่ FSD ต้องการก็มีเพียงแค่ผู้นำที่มีความสามารถในการเริ่มดำเนินการตามแผน

B2B — FoodServiceDirect

Mete Gumus ซึ่งก่อนหน้านี้เป็น CFO สำหรับแผนกบริการอาหารของ Unilever ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้นำทีม FSD ในฐานะกรรมการผู้จัดการซึ่งเป็นบทบาทที่ต้องการความรู้ความเข้าใจในวิธีการปรับขนาดแพลตฟอร์ม FSD ผ่านการเป็นพาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์กับผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย

ผู้นำด้าน digital modernization ของ FSD จำเป็นต้องมีผู้นำด้านเทคโนโลยีที่รอบคอบซึ่งมีประสบการณ์ในการทำงานกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างๆ Mete จึงชักชวน Adeel Murtaza มาเป็น Head of Technology ก่อนหน้านี้ Adeel เคยทำงานในตำแหน่ง Head of Web and Digital Solutions สำหรับ LVMH กลุ่มบริษัทสินค้าหรูของฝรั่งเศส รวมถึงการก่อตั้ง shareVentures ซึ่งเป็นเอเจนซีที่ปรึกษาทางธุรกิจของเขาเอง ด้วยประสบการณ์การสร้างและจัดการเว็บสโตร์ที่ซับซ้อนมาก่อน เขาคุ้นเคยกับความสามารถของแพลตฟอร์ม digital commerce ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน

ตั้งแต่เริ่มแรก Adeel วาดภาพไว้ถึงร้านค้าทั้งสองแห่งที่สร้างขึ้นจากรูปแบบการค้าที่ใช้ API หรือ “headless” ซึ่งโฮสต์ในระบบคลาวด์แทนที่จะเป็นโซลูชันที่ใช้เทมเพลต Headless commerce ใช้ Automated Programming Interfaces (API) เป็นชั้นการสื่อสารที่ยืดหยุ่นระหว่างฟรอนต์เอนด์และแบ็กเอนด์ของเว็บไซต์ API จะช่วยขจัดข้อจำกัดด้านความคิดสร้างสรรค์และเร่งการพัฒนาประสบการณ์ของแบรนด์ในหลายๆ ทัชพอยต์ผ่านกระบวนการตัดสินใจซื้อของผู้ซื้อ

แนวทางแบบ headless ทำให้มั่นใจได้ว่าร้านค้าทั้งสองสามารถเชื่อมต่อกับระบบธุรกิจที่มีอยู่ของ FSD เช่น การจัดการคำสั่งซื้อและผลิตภัณฑ์คงคลัง ประการที่สอง แนวทางแบบ headless จะช่วยให้นักพัฒนามีความยืดหยุ่นในการสร้างประสบการณ์ฟรอนต์เอนด์ที่กำหนดเองได้อย่างรวดเร็วสำหรับแต่ละเว็บสโตร์ที่นำเสนอ ประการที่สาม สถาปัตยกรรมแบบคลาวด์จะช่วยให้ FSD ประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมากทั้งในแง่ฮาร์ดแวร์ทางกายภาพและเจ้าหน้าที่สนับสนุน

ทีมงานใช้กระบวนการคัดเลือกอย่างเข้มงวดสำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหม่ของตน โดยจะต้องมีฟีเจอร์เฉพาะเกือบ 200 รายการในขณะที่ยังคำนึงถึงปัจจัยต้นทุน กรอบเวลาการพัฒนาระบบ และการบำรุงรักษาหลังการ deploy หลังจากการตรวจสอบ พบว่าแพลตฟอร์มคู่แข่งจำนวนมาก เช่น Shopify ไม่มีฟีเจอร์ที่จำเป็นในการจัดการทั้ง FoodServiceDirect.com และเว็บไซต์แฟรนไชส์ใหม่พร้อมกัน

โซลูชันอันทรงประสิทธิภาพที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการด้าน B2B

เมื่อพิจารณา Adobe Commerce ทาง Adeel และทีมงานก็รู้ว่าพบโซลูชันที่ตอบโจทย์ซึ่งสามารถจัดการแค็ตตาล็อกผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่หลากหลายได้แล้ว แทนที่จะถูกจำกัดอยู่กับเทมเพลต ลักษณะแบบเปิดกว้างของสถาปัตยกรรม Adobe กลับช่วยให้ปรับแต่งหน้ารายละเอียดผลิตภัณฑ์ สร้างหน้าเว็บของแบรนด์ และอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ความยืดหยุ่นของแพลตฟอร์มยังเป็นส่วนสำคัญของเว็บไซต์เพื่อให้สามารถปรับแต่งได้หลายครั้งตามต้องการ เช่น ขั้นตอนการชำระเงิน ซึ่งได้รับการแก้ไขสี่ครั้งก่อนที่จะปิดงาน

Adobe Commerce ซึ่งเป็นโซลูชันระบบคลาวด์มาพร้อมกับฟีเจอร์ในตัวสำหรับการรักษาความปลอดภัย การเฝ้าติดตามกิจกรรม และประสิทธิภาพของระบบอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสรรหาผู้ให้บริการเพิ่มเติมเพื่อผสานการทำงานกับโซลูชันอื่นๆ อีก ตัวอย่างเช่น Adobe Commerce มีเครื่องมือเฝ้าติดตามจาก New Relic และ Blackfire.io รวมถึง CDN และเว็บแอปพลิเคชันไฟร์วอลล์จาก Fastly เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในทันที

เมื่อพัฒนาเว็บไซต์ได้รวดเร็วขึ้น แนวทางแบบ headless ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าในตัวของมัน หนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญคือการเพิ่มความสามารถในการขยายการรองรับเพื่อให้ Adeel สามารถรวมแหล่งข้อมูลทางเทคนิคเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา การผสานการทำงานกับเทคโนโลยีของ third-party ผ่าน Adobe Commerce ช่วยเพิ่มฟังก์ชันการทำงานในแต่ละเว็บสโตร์ รวมถึง API ฟังก์ชันการค้นหาโดย Unbxd, โซลูชันการเพิ่มประสิทธิภาพข้อมูลผลิตภัณฑ์จาก 1Worldsync, ซอฟต์แวร์การบริการลูกค้าจาก ZenDesk, และซอฟต์แวร์การจัดการผลิตภัณฑ์ภายในของ FSD เอง

แพลตฟอร์มใหม่สำหรับการเติบโตฝั่ง B2B

ตั้งแต่เปิดตัวเว็บไซต์การค้าใหม่ FSD ก็บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจเกินกว่าที่คาดไว้โดยที่การดำเนินงานแทบจะไม่หยุดชะงักเลย โดยการติดตั้ง Google Merchant Center เพื่อสร้างและจัดการโฆษณาสำหรับ FSD โดยใช้ข้อมูลแค็ตตาล็อกผลิตภัณฑ์ Google Ads ได้รับการยกย่องว่าช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ได้อย่างมาก

Adeel และทีมงานกำลังดำเนินการตามโครงการใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้า FSD และการขายแบบดิจิทัลต่อไป

การใช้ Adobe Commerce ช่วยให้ FSD มอบประสบการณ์การซื้อที่แข่งขันได้ให้กับฐานลูกค้า B2B ของตนพร้อมมุ่งหวังการเติบโตทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าในปีหน้า